Google Ads vs SEO ต่างกันอย่างไร
ในโลกของการตลาดออนไลน์สองเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่ถูกนำมาใช้เพื่อดึงดูดผู้ชมและเพิ่มการมองเห็นธุรกิจของคุณ คือ Google Ads และ SEO (Search Engine Optimization) แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร และเมื่อไหร่ที่ควรเลือกใช้วิธีใด? ลองมาทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
Google Ads / SEM หรือ Search Engine Marketing
โฆษณาแบบจ่ายเงิน เราสามารถใช้เงินจ่ายให้ Google Ads เพื่อให้เว็บไซต์ของเราแสดงผลก่อนจะถึงผลการค้นหาปกติ และต่อท้ายการแสดงผลปกติได้ ซึ่งผลการแสดงผลแบบปกติจะมี 10 รายการ ซึ่งใช้งานง่าย คือ จ่ายเงินปุ๊บ เข้าถึงผู้ชมที่กำลังค้นหาใน Keyword เป้าหมายได้ทันที
ข้อดีของ Google Ads:
- ผลลัพธ์รวดเร็ว: เมื่อเปิดใช้งานโฆษณา โฆษณาของคุณจะแสดงผลทันที ทำให้คุณสามารถเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
- การควบคุมงบประมาณ: คุณสามารถกำหนดงบประมาณรายวันได้ ทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี
- การระบุเป้าหมายที่ชัดเจน: คุณสามารถระบุเป้าหมายผู้ชมตามตำแหน่งที่ตั้ง, อายุ, เพศ, หรือพฤติกรรมการค้นหา
ข้อเสียของ Google Ads:
- ค่าใช้จ่ายสูง: การแข่งขันในบางคำค้นหาที่เป็นที่นิยมอาจทำให้ค่าคลิก (CPC) สูงมาก ซึ่งอาจทำให้ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการแข่งขันกับคู่แข่ง
- ผลลัพธ์สั้นระยะ: หากหยุดการจ่ายเงิน โฆษณาจะหายไปจากผลการค้นหา ทำให้คุณต้องใช้เงินต่อเนื่องเพื่อรักษาความเป็นที่มองเห็น
แต่
เนื่องจากนโยบายควบคุมคุณภาพของ Google Ads เราต้องทำให้เนื้อหาโฆษณา และ เว็บไซต์ของเรา มีคุณภาพตามมาตรฐานของ Google Ads ด้วย ถ้าหากว่าเราสร้างเนื้อหาโฆษณาของเราได้คะแนนคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์ โฆษณาของเราก็จะแสดงผลน้อย หรือ ต้องใช้เงิน bid มากขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าโฆษณาสูงขึ้นตามไปด้วย
SEO หรือ Search Engine Optimization
การติดอันดับแบบธรรมชาติ หรือ ที่เรียกว่าแบบ Organic Search Traffic คือ ผู้เข้าชมมาจากผลการค้นหาของ Search Engine เช่น Google ในการแสดงผลส่วน Organic List ซึ่งการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกๆ นั้นต้องปรับแต่งเว็บไซต์อย่างเหมาะสมและใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ถึง 2 ปี จึงจะเห็นผล ขึ้นอยู่กับการแข่งขันใน keyword นั้นๆ
ข้อดีของ SEO
- การลงทุนระยะยาว: เมื่อเว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีบน Google ผลลัพธ์นี้จะคงอยู่ในระยะยาวโดยไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมทุกครั้งที่มีคนคลิก
- ความเชื่อมั่นจากผู้ใช้: เว็บไซต์ที่ปรากฏในผลการค้นหาธรรมชาติมักถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าโฆษณา เป็นการสร้าง Brand ที่ดีมาก
- ค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า: ถึงแม้จะต้องใช้เวลาและความพยายามในการทำ SEO แต่โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายจะน้อยกว่าในระยะยาว เมื่อเทียบกับ Google Ads
ข้อเสียของ SEO:
- ใช้เวลานาน: การปรับอันดับให้สูงขึ้นใน Google อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือแม้กระทั่งปี โดยเฉพาะในคำค้นหาที่มีการแข่งขันสูง
- ไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่: การเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมของ Google อาจส่งผลกระทบต่ออันดับของคุณโดยไม่คาดคิด
เราสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับแรกๆ ของ Google ได้เอง แต่ถ้าทำไมเป็นหรือการแข่งขันสูง สามารถจ้างมืออาชีพรับทำ SEO ช่วยปรับแต่งได้ แต่ต้องคัดเลือกดีๆ เพราะหากปรับแต่งไปในแนวทางที่ไม่เหมาะสมจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี และแก้ไขยากมาก
Engagement
หากเว็บไซต์ได้รับการปรับแต่ง SEO อย่างเหมาะสม มักจะทำให้อัตรา Engagement สูง ตามไปด้วย ทำให้เพิ่มโอกาศในการขายสินค้าหรือบริการได้มากขึ้น
เพิ่มความน่าเชื่อถือ
เมื่อเว็บไซต์เราติดอันดับสูงๆ ใน Google เป็นระยะเวลานานๆ ยังสามารถช่วยสร้าง Brand เพิ่มความน่าเชื่อถือกว่าเว็บไซต์ที่อยู่ท้ายๆ หรือเว็บไซต์ที่ไม่ติดอันดับ
ไม่ว่าเราจะทำ SEO หรือ Google Ads เราก็ต้องปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพก่อนเบื้องต้น เป็นอันดับแรก
ควรเลือกใช้อะไรดี?
การเลือกใช้ Google Ads หรือ SEO ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และงบประมาณของคุณ
- หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เช่น การเพิ่มยอดขายในช่วงเวลาเฉพาะ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการโปรโมทโปรโมชั่น Google Ads จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
- หากคุณต้องการการเติบโตที่ยั่งยืน และไม่ต้องการจ่ายเงินสำหรับการคลิกทุกครั้งในระยะยาว การลงทุนใน SEO จะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเว็บไซต์ของคุณ
สรุป
ให้ทำการปรับแต่งเว็บไซต์ให้พร้อมใช้งานในทุกๆ ด้าน รวมถึงการทำ SEO Onpage แล้วค่อยยิง Ads จะทำให้ได้รับประสิทธิภาพและคุ้มค้ามากที่สุด
Google Ads และ SEO ต่างเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในโลกของการตลาดดิจิทัล การทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าเครื่องมือใดเหมาะสมกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณที่สุด หรืออาจเป็นการเลือกใช้ทั้งสองวิธีเพื่อความสมดุลและประสิทธิภาพที่สูงสุด